ขณะที่วาระสำคัญของชาวอเมริกันกับช่วง Midterm Election ที่ได้สิ้นสุดลงไม่นานมานี้ (ต้องขอแสดงความยินดีด้วยกับพรรคเดโมแครตที่ได้ชัยชนะจำนวนเก้าอี้ใน House) ภายหลังเกือบสองปีเต็มใต้ร่มเงาบทบาทประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกได้ว่าเปลี่ยนโฉมความหมายความเข้าใจของคำว่า ‘อเมริกัน’ เปลี่ยนไปมากทีเดียวจากมุมมองของทั้งชาวโลกและอเมริกันชนเอง ไหนจะเหตุการณ์ชุมนุมฝ่ายขวาและกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงครั้งสำคัญ ณ ชาร์ลอทสวิลล์ ที่รัฐเวอร์จิเนียเมื่อปีก่อน ซึ่งก่อฟืนและจุดชนวนประเด็นด้านเชื้อชาติและสีผิวให้กลับมาร้อนระอุอีกครั้ง, ความรุนแรงของอาวุธปืนและเหตุการณ์กราดยิงอันน่าเศร้าที่ล่าสุดเกิดขึ้นในธรรมศาลายิวที่พิตต์สเบิร์ก, การกวาดล้างและควบคุมแรงงานต่างด้าวผิดกฏหมายอย่างไม่เป็นธรรมและความเข้มงวดของกองตรวจคนเข้าเมือง, ไปจนถึงการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของคติแนวคิดสตรีนิยม (Feminism) ร่วมสมัยคลื่นลูกที่สี่พร้อมกับการเคลื่อนไหวของโซเชียลมีเดียผ่านแฮชแท็ก #MeToo และ #TimesUp เหตุการณ์และประเด็นทางวัฒนธรรมเหล่านี้ต่างนำมาซึ่งการตั้งแง่มุมและคำถามมากมายต่อคุณค่าและอัตลักษณ์ที่แท้จริงของชาติมหาอำนาจ ดินแดนผู้เป็นเจ้าของฉายา ‘Land of the Free’ และ ‘Home of the Brave’ แห่งนี้
ก่อนผู้อ่านจะเข้าใจผิดและคิดว่านี่ใช่บล็อกเกี่ยวกับแฟชั่นจริงหรือไม่ ขอหยุดกับการสาธยายสถานการณ์การเมืองไว้เพียงเท่านี้ แต่แน่นอนว่าสภาวะและสถานะของบ้านเมืองนั้นย่อมส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมแฟชั่นอยู่เสมอ ดังเช่นตลอดมาในประวัติศาสตร์แฟชั่นนับร้อยๆ ปี ปัจจุบันนี้ก็เช่นกัน เมื่อสถานการณ์ทางสังคมและการเมืองอเมริกันส่งผลให้คนในชาติไม่ว่าจะ รีพับลิกัน หรือ เดโมแครต ต่างตั้งคำถามต่อความหมายของอัตลักษณ์ความเป็นชาติของตน ดีไซน์เนอร์และแบรนด์แฟชั่นอเมริกันเองต่างก็เกิดข้อสงสัยและความต้องการค้นหาถึงนิยามที่แท้จริงของ American Fashion ไปพร้อมๆกัน ผู้เขียนได้เล็งเห็นถึงสาระสำคัญองค์รวมที่ว่าด้วยการตั้งคำถามและออกความคิดเห็น ผ่านมุมมองที่แตกต่างกันจากปัจจัยและภูมิหลังที่หลากหลายของตัวดีไซน์เนอร์เอง บทความนี้จึงขอหยิบยกสามคอลเลคชั่นเด่นโดยสี่ดีไซน์เนอร์จาก New York Fashion Week ที่พึ่งผ่านมาครั้งล่าสุดในฤดูกาล Spring-Summer ปี 2019 เพื่อนำเสนอทัศนวิสัยต่อสถานะปัจจุบันของ American Fashion จากสามมุมมอง อันได้แก่ มุมมองของคนนอกโดย Raf Simons ที่ Calvin Klein, มุมมองจากคนใน ผ่านคอลเลคชั่นจาก Matthew Adams Dolan, และมุมมองของคนที่เดินทางกลับบ้านอีกครั้ง จาก Proenza Schouler โดย Lazaro Hernandez และ Jack McCollough
The Age of Anxiety
ถ้ายังจำกันได้ เราได้ร่วมกัน Decode คอลเลคชั่นของ Calvin Klein ภายใต้ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ Raf Simons ก่อนหน้านี้ถึงสองคอลเลคชั่น จากทั้งฤดูกาล Spring-Summer ปี 2018 และฤดูกาล Fall-Winter ปี 2018/2019 ซึ่งสำหรับในครั้งนี้ Raf Simons กับบทบาทของเขาในฐานะของ ‘คนนอก’ ก็ยังคงเด่นชัดและอาจนับได้ว่า ‘ตรงไปตรงมา’ มากกว่าที่เคย ดีไซน์เนอร์ผู้ไม่เคยหยุดสร้างความประหลาดใจและยังคงตอกย้ำถึงความคิดสร้างสรรค์อันเฉพาะตัวของเขาให้พวกเราได้รับชมไม่ว่าจะก้าวขึ้นรับบทบาทหน้าที่ที่ใด ทั้ง ณ Jil Sander (2005 – 2012), Christian Dior (2012 – 2015), และปัจจุบันที่ Calvin Klein (2016 – ) ยังไม่นับที่แบรนด์เครื่องแต่งกายบุรุษในนามของเขาเองซึ่งวันนี้มีอายุมากกว่าสองทศวรรษเข้าให้ Simons ยังคงถูกเชิดชูและครองตำแหน่งหนึ่งในนักออกแบบแฟชั่นที่มีความสามารถและชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งผู้มีส่วนอุทิศและผลิกโฉมการแต่งกายของผู้บริโภคสินค้าแฟชั่นทั้งชายและหญิงในยุคร่วมสมัยนี้ ดีไซน์เนอร์ชาวเบลเยียมผู้เป็นคนนอกเมื่อก้าวข้ามมหาสมุทรแอทแลนติคเข้ามานั่งเก้าอี้สูงสุดในบ้านแห่งใหม่ที่ Calvin Klein จึงเป็นหนึ่งใน Candidate คนสำคัญที่แสดงให้เราเห็นถึงแนวคิดที่เขามีต่อสถานะและภาวะปัจจุบันของ American Fashion ซึ่งสองฤดูกาลที่ผ่านมา เราได้ชมการถ่ายทอด American Pop Culture บนรันเวย์ภายใต้สาระสำคัญที่ว่าด้วย American Horror, American Dream, และ American Hopes & Heroes มาวันนี้ หัวข้อถัดมาที่ถูกหยิบยกมาใช้เป็นใจความหลักของคอลเลคชั่นก็คือ American Fear
หากจะให้เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ความกลัวในที่นี้ของ Raf หลบซ่อนแฝงอยู่ภายใต้ความสวยงามที่หลอกให้เราตายใจ ความกลัวในรูปแบบของสิ่งที่เรามองไม่เห็นจากเพียงแค่เปลือกนอก ความกลัวที่ยังไม่มาถึงแต่พร้อมปรากฏขึ้นทันทีที่เราไม่ทันระวัง ซึ่งอะไรเล่าจะแสดงให้เราเห็นถึงภาพและความรู้สึกวิตกกังวลลึกลงในใจนี้ได้ดีไปกว่าสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลอย่าง ‘ฉลาม’ ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่หยั่งรากลึกฝังลงไปใน American Pop Culture มาตั้งแต่ไหนแต่ไร แค่เพียงภาพยนตร์ที่มี Theme หลักเป็นฉลามนั้นก็มากพอที่จะจัดให้เป็นอีก Genre หนึ่งเลยก็ได้ ไหนจะภาพยนตร์ภาพสวยเกี่ยวกับหญิงสาวซึ่งรับบทโดย Blake Lively ที่ต้องต่อสู้กับฉลามตัวคนเดียวตลอดทั้งเรื่องใน The Shallows (2016), ภาพยนตร์เขย่าขวัญสร้างจากเรื่องจริงอย่าง Open Water (2003) และภาคต่อ Open Water 2: Adrift (2006) ที่ทำให้ใครหลายๆคนกลัวการเข้าใกล้มหาสมุทรไปนาน, หรือกระทั่งภาพยนตร์โทรทัศน์สุดคัลท์ในชุด Sharknado ที่ชวนหัวร่อกับบทน่าขันและตรรกะไร้เหตุผล แต่ความหลากหลายของเหล่าฉลามในภาพยนตร์มักถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบที่ล้วนแล้วมีเนื้อเรื่องคล้ายคลึงกัน โดยเริ่มต้นด้วยการพักผ่อนหย่อนใจของตัวละครเอกริมชายหาดงามที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด หรือล่องไปในท้องทะเลกว้างไม่รู้จบ ก่อนที่ความสวยงามของวันหยุดจะกลายเป็นฝันร้ายของทั้งตัวละครและผู้ชมที่อดไม่ได้ที่จะเกรงกลัวและกังวลถึงสิ่งมีชีวิตดุร้ายใต้ท้องทะเลชนิดนี้ (แม้ว่าความจริงแล้วในธรรมชาติ ฉลามก่อความรุนแรงต่อมนุษย์เพียงเฉลี่ยแค่สิบคนต่อปีเท่านั้น ไม่นับรวมถึงจำนวนของฉลามที่กำลังลดน้อยลงทุกวันจากน้ำมือของมนุษย์) Simons เองจึงหยิบนำเอาอีกหนึ่งภาพยนตร์ฉลามเรื่องคลาสสิคผลงานสร้างของ Steven Spielberg อย่าง Jaws (1975) มาฉายซ้ำอย่างโจ่งแจ้งและตรงตัวบนรันเวย์อีกครั้ง ทั้งกับเสื้อยืดสกรีนลายพิมพ์โปสเตอร์ที่ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี หรือเหล่าชุดดำน้ำและชุดสกูบาที่ถูกแปรรูปผสมผสานกับเหล่าชุดคอกเทลเดรสหน้าตาวินเทจ หรือจะเป็นกระโปรงและสเว้ตเตอร์ถักขาดวิ่นคล้ายรอยฟันและกรามของฉลามขาวฉีกขาดเสีย ร่วมกับนายแบบนางแบบบางคนใน Wet Look ผมเปียกแฉะเสมือนพึ่งก้าวขึ้นมาจากผืนน้ำ นอกจากนั้นเพลงประกอบชวนขนลุกอันคุ้นหูจาก Jaws ก็ถูกนำมาใช้เป็นซาวด์แทรคประกอบรันเวย์อีกด้วย
ภาพยนตร์เรื่อง Jaws (1975) และเสื้อพิมพ์ลายโปสเตอร์ผสมกับโลโก้ Calvin Klein
ขบวนชุดสกูบา
กระโปรงและสเว้ตเตอร์ถักขาดวิ่นคล้ายรอยฟันของฉลามขาวทำให้ฉีกขาด
แต่นี่คงไม่ใช่คอลเลคชั่นที่สมบูรณ์ของ Raf หากไม่ได้มีการผสมผสานหรือทวิสต์เข้ากับสิ่งที่ผู้ชมคาดไม่ถึง เพราะใครจะไปคิดเล่าว่าฉลามจะมาปรากฏอยู่บนรันเวย์ร่วมกับเครื่องแต่งกายที่ดูเหมือนกับว่าที่นี่ไม่ใช่การนำเสนอคอลเลคชั่นใหม่จาก Calvin Klein แต่เป็นงานรับปริญญาจบการศึกษาของบัณฑิตใหม่ต่างหาก ภาพยนตร์อเมริกันคลาสสิคอีกหนึ่งเรื่องที่ Simons เลือกมาฉายควบร่วมด้วยนั่นก็คือ The Graduate (1967) การอุปมาอุปไมยอันชาญฉลาดของ Simons กับการนำเอาความงามเปลือกนอกของพิธีเฉลิมฉลองการจบการศึกษา ที่แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงฉากบังหน้าจุดเริ่มต้นอันน่ากลัวของความไม่แน่นอนในอนาคต ไม่ต่างอะไรกับการล่องเรือออกไปในทะเลกว้างสุดลุกหูลูกตา ที่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเมื่อไหร่ฉลามตัวยักษ์จะกระโดดขึ้นมาจากผืนน้ำเพื่อหวังจะฆ่าเราทั้งเป็น!
เสื้อคลุมรับปริญญาและหมวก Mortar Board
เสื้อเบลเซอร์สูทของถนัดที่ Raf เลื่องชื่อ เดินขบวนร่วมกับเสื้อคลุมรับปริญญาสีดำตัวโคร่งและเหล่านายแบบนางแบบที่สวมหมวก Mortar Board ในช่วงครึ่งหลังของคอลเลคชั่น เสมือนกับว่าเตรียมรอเข้าคิวเพื่อรับใบปริญญาร่วมกัน สำหรับบัณฑิตจบใหม่หรือนิสิตนักศึกษาในปีสุดท้ายที่มีแผนจะรับปริญญาในเร็ววันนี้ คอลเลคชั่นใหม่จาก Calvin Klein ในฤดูกาล Spring-Summer ปี 2019 อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อทำให้คุณโดดเด่นกว่าใครในวันจบการศึกษาก็ได้
Raf Simons ยังคงเน้นย้ำถึงวิสัยทัศน์อันเกิดจากความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่าง Calvin Klein และ American Pop Culture ที่หากย้อนไปก่อนปี 2016 คงไม่มีใครในอุตสาหกรรมแฟชั่นจินตนาการถึงมาก่อนเป็นแน่ ที่ห้องเสื้อคลาสสิคอันเป็นที่รู้จักจากสไตล์มินิมัลลิสม์แห่งทศวรรษ 1990’s จะกลายมาเป็นแหล่งรวมความป๊อบและความเป็นอเมริกันไปในขณะเดียวกันได้อย่างลงตัว ทั้งจากการจับมือนำครอบครัว Kardashian – Jenner ให้มาเป็นนางแบบในภาพโฆษณา หรือการชุบชีวิตเครื่องแต่งกาย Western หรือลุค Cowboy ให้มีชีวิตใหม่ที่ Fashionable มากขึ้น ภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ถูกผลิกโฉมจากหน้ามือเป็นหลังมือทำให้ Calvin Klein ก้าวกลับขึ้นมาเป็นผู้นำสร้างกระแสและเทรนด์ต่างๆก่อนใคร และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างจุดยืนและให้นิยามแก่ American Fashion ร่วมสมัยให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนยิ่งขึ้นนั่นเอง
Monochromatic Operation
บทบาทของแฟชั่นจากมหานครนิวยอร์กมีทิศทางเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมานี้ หนึ่งในเหตุผลหลักอาจเป็นเพราะจำนวนของดีไซน์เนอร์เจ้าบ้านไม่น้อยที่ละทิ้งปฏิทินการโชว์เดิมด้วยเหตุผลต่างๆ อย่างบางชื่อที่เราคุ้นหูหันไปใช้การ PR ผ่าน Lookbook เสียแทนเช่น Zac Posen, Rag & Bone, Marchesa, และ Baja East บางชื่อก้าวออกจากตารางแล้วหันไปหาฤกษ์ยามวันโชว์เดี่ยวของตัวเองเสียแทนเช่น Alexander Wang หรือบางชื่อที่ถูกพิษเศรษฐกิจบีบให้ปิดประตู หยุดพักกิจการลงอย่างน่าเศร้าเช่น Thakoon ถึงกระนั้นเองตารางลำดับโชว์ ณ New York Fashion Week ก็ไม่ได้ว่างเปล่า แต่กลับกลายเป็นข่าวดีสำหรับเหล่าดีไซน์เนอร์อิสระและห้องเสื้อขนาดย่อมที่จะเฉิดฉายและได้รับความสนใจจากสื่อหลังจากการแฝงตัวอยู่ใน Underground Scene มาโดยตลอด ส่งผลให้ในวันนี้พวกเขาได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำทัพขับเคลื่อน American Fashion และ Youth Culture ให้มีทิศทางที่ชัดเจนมากกว่าที่เคย มากไปกว่านั้นยังได้ให้ความหมายใหม่ที่มีคุณค่าและความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อช่วงเวลานี้ ด้วยแนวความคิดที่เปิดกว้างและไร้ซึ่งอคติต่อปัจจัยใดๆ ทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา อัตลักษณ์ทางเพศ อายุ หรือรูปร่างหน้าตา (ตรงกันข้ามกับแนวความคิดของประธานาธิบดีของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง, Allegedly (?) ) เขาเหล่านี้มาในชื่อ Telfar, Vaquera, Luar, Gypsy Sport, Maryam Nassir Zadeh, Eckhaus Latta, Chromat, และพระเอกของเรา Matthew Adams Dolan
หากยก Raf Simons เป็นผู้ออกความเห็นในส่วนของคนนอกแล้ว ย่อมต้องมีมุมมองของ ‘คนใน’ มาลองเทียบกันดูบ้าง คอลเลคชั่นล่าสุดโดยดีไซน์เนอร์รุ่นเล็กหน้าใหม่พร้อมเลือดเนื้อเชื้อไขอเมริกัน Matthew Adams Dolan ซึ่งนอกจากตรงตาม Criteria ของเราแล้ว คอลเลคชั่นของเขายังสะดุดตามากเป็นพิเศษในฤดูกาล Spring-Summer ปี 2019 นี้
เกิดที่รัฐแมสซาชูเซตส์ ก่อนข้ามทวีปไปเติบโตและใช้ชีวิตช่วงวัยเด็กที่ซิดนีย์ ตามด้วยญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ และย้ายกลับมาใช้ชีวิตและสำเร็จการศึกษาจาก Parsons ในปี 2014 แม้จะไกลบ้านไปถึงออสเตรเลีย แต่การได้เติบโตนอกบ้านไม่ได้ทำให้เขากลายเป็นคนนอกเสียอย่างใด ทั้งความชอบในตราสินค้าอเมริกันคลาสสิคอย่าง Ralph Lauren และ Banana Republic ในช่วงทศวรรษ 1990’s ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจหลักของเขาในการสร้างสรรค์เสื้อผ้า รวมทั้งการเรียนรู้เทคนิคหัตถกรรมอเมริกันดั้งเดิมจากมารดาผู้เป็นช่างปักและช่างควิลต์มากฝีมือ แบรนด์ในนาม Matthew Adams Dolan ที่วันนี้มีอายุ 3 ปีเข้าให้หลังจากนำเสนอคอลเลคชั่นแรกในฤดูกาล Spring-Summer 2016 จึงกลายเป็นที่รู้จักผ่านรายละเอียดของการเดินเส้นด้าย (Seamline) และงานควิลติ้ง (Quilting) รวมไปถึงการใช้วัสดุอย่างเดนิมและผ้าถักที่แสดงออกถึงภาพลักษณ์ Americana ได้เป็นอย่างดี แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดที่เสริมสร้างให้ห้องเสื้ออายุน้อยกับสตูดิโอขนาดเล็กบน South Street ในนิวยอร์กแห่งนี้เป็นตัวแทนสำคัญของคนรุ่นใหม่ได้รับบทบาทหน้าที่เป็นหนึ่งในผู้กำหนดอนาคตของ American Fashion ไปอย่างไม่รู้ตัว
Matthew Adams Dolan Fall-Winter 2017
Matthew Adams Dolan Fall-Winter 2018
ใจความและปรัชญาเบื้องหลังคอลเลคชั่นของ Adams Dolan คือสิ่งที่เรารู้จักกันดีในนามว่า ‘ประชาธิปไตย’ หรือในที่นี้ ‘Democratic Fashion’ แนวคิดที่กล่าวถึงการออกแบบเสื้อผ้าที่ ‘ทุกคน’ สามารถสวมใส่ได้ คือโจทย์สำคัญที่เขายกขึ้นมาเป็นตัวตั้ง โดยมีต้นแบบจากดีไซน์เนอร์ Claire McCardell ผู้วางรากฐานและตอกเสาเข็มให้แก่ American Sportswear ให้เขาก้าวเท้าเดินตาม Claire ได้สร้างสรรค์เครื่องแต่งกายหลายชิ้นที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้สวมใส่ด้วยการตัดทอนและเหลือไว้เพียงฟังก์ชั่นหลักบนเสื้อผ้า แต่ยังคงไว้ด้วยความสวยงามและ Sophistication ร่วมสมัยแห่งยุค 40’s และ 50’s มาวันนี้กว่าหกทศวรรษให้หลัง Adams Dolan กำลังทำสิ่งเดียวกันให้กลับมาเป็นคติสำคัญแก่ American Fashion อีกครั้งหนึ่ง
Claire McCardell
คอลเลคชั่น Spring-Summer ปี 2019 นี้จึงได้ออกมาเป็นขบวนเครื่องแต่งกาย Workwear หลากหลายรูปแบบซึ่งอยู่เคียงคู่วัฒนธรรมอเมริกันมายาวนาน ทั้งแจ็คเก็ตเดนิมที่ดัดแปลงจากรูปลักษณ์ Blue Collar Worker ให้กลายเป็น Bar Jacket ชั้นสูง, กางเกง Cargo ที่ปรับให้ Fashionable ขึ้นจากการแก้สัดส่วนหรือ Transform ให้เป็นกระโปรง, เสื้อกั๊ก Utility ที่ถูกขยายใหญ่ ร่วมกับการเพิ่มประโยชน์ใช้สอยเบสิคเช่นเหล่ากระเป๋าที่ถูกขยายขนาดและสัดส่วนให้โดดเด่น ก่อนที่ทั้งหมดจะได้รับนิยามความหมายใหม่ผ่านการฉาบสีล้วนทับทั้งลุค บ้างฉูดฉาด บ้างพาสเทล บ้างขาวดำ บ้างเดนิม
ผลลัพท์คือคอลเลคชั่นเสื้อผ้าที่ใครๆก็สวมใส่ได้ทั้งนั้น หากผู้อ่านไม่เชื่อลองจินตนาการตามไปพร้อมๆกัน ทั้ง Kim Kardashian ในเสื้อเชิ้ตและกระโปรงสีเหลืองเลมอน, Rihanna ในลุคเสื้อเชิ้ตเดนิมเปิดไหล่, สาวออฟฟิสย่านดาวน์ทาวน์ในชุดสูทเทเลอร์สีกากี, เด็กหนุ่มที่ชื่นชอบดนตรีฮิปฮอปในลุคเชิ้ตเดรสกางเกงเดนิมสีดำล้วน,สาวฐานะดีวัยไฮสคูลอย่าง Regina George จาก Mean Girl (2004) หรือ Chanel Oberlin จาก Scream Queens (2015 – 2016) ในเบลเซอร์และกระโปรงสีฟ้าพาสเทล ไปจนถึงวัยรุ่นนอน-ไบนารี่ในเสื้อเชิ้ตตัวบางสีวานิลลาคู่กับกางเกงขากว้างสีเลมอนสด
ความมุ่งมั่นและปณิธานในการสร้างคอลเลคชั่นที่มาพร้อมเจตนารมณ์อันเป็นเครื่องหมายของดินแดนอเมริกันแห่งนี้อย่างเช่นประชาธิปไตย เป็นสัญลักษณ์และตัวบ่งชี้ที่ดีถึงอนาคตของ American Fashion ซึ่งนำโดย Matthew Adams Dolan ร่วมกับดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่อีกมากมาย ว่าเต็มไปด้วยความหวัง ประเด็นทางสังคมด้าน Inclusivity และ Diversity อันเปราะบางภายใต้ร่มเงาของทรัมป์กำลังเป็นฟืนไฟส่งให้คนรุ่นใหม่เหล่านี้ฉายแสงนำทางพาจิตวิญญาณที่แท้จริงของคำว่า ‘American’ กลับคืนสู่ทุกคนอีกครั้ง และเราคงพูดได้ว่าอนาคตของ American Fashion is definitely in good hands.
Unbounded Reinstatement
สองสามซีซั่นมานี้อีกเหตุผลที่ทำให้นิวยอร์กแฟชั่นวี้คเงียบเหงาลงไป ส่วนหนึ่งคงเป็นผลมาจากดีไซน์เนอร์เจ้าบ้านที่ย้ายออกเพื่อเปลี่ยนที่พักพิงชั่วคราว นำโดย Rodarte และ Proenza Schouler ซึ่งขนย้ายสำมะโนครัวออกจากมหานครแฟชั่นจากทวีปหนึ่งไปสู่อีกทวีปหนึ่งพร้อมๆกันในฤดูกาล Spring 2018 ซึ่งสำหรับ Proenza Schouler แบรนด์คู่คิดของสาวสไตล์ Urban Cool & Chic แห่งนิวยอร์ก การย้ายหลักแหล่งไปอยู่ในมหานครปารีสอาจจะสร้างความประหลาดใจให้ใครหลายๆคน แต่ไม่ต้องกลัวไป! ตอนนี้ทั้ง Proenza Schouler และ Rodarte เดินทางกลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนของตนเรียบร้อยแล้ว
ณ ปารีส สองคู่หู Lazaro Hernandez และ Jack McCollough ประกาศยุบการโชว์เมนคอลเลคชั่น (Spring-Summer/Fall-Winter) และพรีคอลเลคชั่น (Pre-Fall/Resort) เข้ารวมกัน พร้อมๆกับการย้ายไปโชว์ร่วมกับ Rodarte ในช่วงสัปดาห์ Couture ภายหลังได้ศึกษาตัวเลขการขายที่มีสัดส่วนสูงในเวลาเดียวกับช่วงการโชว์พรีคอลเลคชั่น ซึ่งนั่นทำให้การขยับไปอยู่ในช่วงสัปดาห์แฟชั่นชั้นสูงในกรุงปารีสและลดจำนวนการโชว์จาก 4 เป็น 2 โชว์ต่อปี จึงฟังดูแล้วสมเหตุสมผลและ Make Sense ในแง่ธุรกิจมากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าในสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซา การสร้าง Strategy ให้ตอบรับกับผู้บริโภคและสร้างยอดขายให้ได้มากที่สุดนับเป็นสิ่งสำคัญและเป็นตัวชี้วัดความอยู่รอดของแบรนด์ได้เลยทีเดียว
Proenza Schouler Spring-Summer 2018
Proenza Schouler Fall-Winter 2018/2019
การย้ายไปพำนักที่ปารีสนั้นถือเป็นการต่อยอดความสนใจของทั้ง Hernandez และ McCollough ต่อเสื้อผ้าประเภท Couture ดังที่สามารถเห็นได้ผ่านดีเทลรายละเอียดการตกแต่งที่แตกต่างจากปกติวิสัยของแบรนด์ไปมากทีเดียวในคอลเลคชั่น Spring 2018 และลดหลั่นลงมาในคอลเลคชั่น Fall 2018/2019 ซึ่งเมืองไหนกันเล่าที่จะตอบสนองความสนใจนี้ได้มากไปกว่าเมืองหลวงแห่งการตัดเย็บชั้นสูง ซึ่งนอกจากจะได้เข้าไปในดินแดนใหม่ที่ต่างเมือง ต่างวัฒนธรรม ต่างภาษา ทั้งสองยังได้ขยายเส้นขอบฟ้าของแบรนด์ให้กว้างขึ้นกับการก้าวเข้าไปในอีกดินแดนที่ไม่เคยพบเห็นได้มาก่อนบนแผนที่ของ Proenza Schouler แต่กระนั้นภายหลังจากการไปเป็นคนนอก ณ ต่างเมืองถึงสองซีซั่น ภาพที่เราได้เห็นกันบนรันเวย์ฤดูกาลใหม่ในกรุงนิวยอร์กแทบจะเหมือนกับการพลิกหน้ามือเป็นหลังมืออย่างสิ้นเชิง เสมือนกับว่าทั้งคู่ไม่เคยก้าวเท้าออกนอกประเทศไปเหยียบแผ่นดินฝรั่งเศสมาก่อน รายละเอียดการตกแต่งทั้งลูกไม้ ขนนก ไปจนถึงการปักที่เคยปรากฏ แทบมิได้ลงเหลืออยู่เลยในคอลเลคชั่น Spring-Summer ปี 2019 Hernandez และ McCollough เองก็คงรู้สึกเช่นเดียวกับพวกเราว่า นี่ใช่ภาพลักษณ์ของ Proenza Schouler จริงหรือกับเหล่าเครื่องแต่งกาย Semi-Couture ในสองคอลเลคชั่นที่ผ่านมา ขอบฟ้าที่ได้ขยายให้กว้างขึ้นอาจจำเป็นที่จะต้องร่นถอยกลับมาเพื่อหาจุดยืนของแบรนด์ที่แท้จริงอีกครั้งหนึ่งหรือเปล่า?
การได้เดินทางกลับบ้านนอกจากจะนำมาซึ่งความรู้สึกอุ่นใจและความคุ้นเคย ยังมักนำมาซึ่งมุมมองใหม่ๆต่อบ้านเกิดที่หลายคนอาจเคยรู้สึกเมื่อได้กลับประเทศไทยหลังจากการไปอาศัยในต่างแดนเป็นเวลาหนึ่ง เช่นกันกับ Hernandez และ McCollough การกลับสู่แผ่นดินอเมริกาเหนือยังเป็นการพาทั้งสองกลับมายังจุดเริ่มต้นของ Proenza Schouler กับแนวทางการออกแบบและคติใจความของเสื้อผ้า Ready-To-Wear ในนครปารีสทั้งสองได้หยิบนำวัสดุและการตกแต่งมากมายมาใช้ในคอลเลคชั่น การได้กลับบ้านสู่กรุงนิวยอร์กจึงน่าคิดไม่เบาหากพวกเขาใช้ผ้าเพียงแค่ชนิดเดียวสำหรับทั้งคอลเลคชั่น ซึ่งผ้าชนิดใดกันที่จะบอกเล่าถึงอัตลักษณ์สัญชาติอเมริกันบ้านเกิดได้ดีไปกว่า ‘เดนิม’ ผลลัพท์จึงเกิดเป็นขบวนพาเหรดเครื่องแต่งกายผ้าฝ้ายที่ทอแบบทวิล (Twill Weave) ในโครงสร้างรูปร่างเบสิคที่สุด ร่วมกับเทคนิคบนผ้ายีนส์ยอดฮิตอย่างการฟอก (Bleached) การมัดย้อม (Tie-Dyed) และการจุ่มคราม (Indigo Dipped) ไปจนถึงการตกแต่งสมทบด้วยการตอกหมุด (Studded) และการเดินเส้นด้าย (Seamline)
จากลุคที่หนึ่งไปจนถึงลุคที่สามสิบเอ็ด มีจำนวนสีที่ใช้ไม่ถึงแปดสี (ขาว, ไอวอรี่, ดำ, ฟ้าเดนิม, เขียว, และเหลือง) แถมยังไม่ปรากฏให้เห็นลายพิมพ์ใดๆทั้งสิ้น (นอกจากการปะติด Photography เมืองนิวยอร์กแผ่นไซส์เล็กบนไอเท็มอย่างเชิร์ต) นี่เป็นการกลับสู่ความเรียบง่ายและเครื่องแต่งกายมินิมอลลิสม์อย่างสุดโต่งทางกระบวนการความคิดอย่างแท้จริงสำหรับแบรนด์อย่าง Proenza Schouler ภายใต้ภาพลักษณ์ดิบและกรั้นช์ในคอลเลคชั่นนี้ แต่ถึงกระนั้นการกลับบ้านของ Jack และ Lazaro ไม่สามารถสร้างความประทับใจต่อจุดเริ่มต้นศักราชใหม่นี้ให้แก่เอดิเตอร์และนักวิจารณ์แฟชั่นได้เท่าไหร่นัก ตรงกันข้าม คอลเลคชั่นนี้กลับถูกมองว่ายังไปไม่ไกลมากพอ แนวคิดการหยิบยกยีนส์มาใช้กลับเป็นเพียงแค่ผิวเผิน แถมเหล่าเทคนิคการฟอกหรือกัดสีด้วยกรด, การมัดย้อม, และการจุ่มครามที่ว่าก็ล้วนแล้วแสนจะ Cliché ไม่ต่างจากใครที่ไหนที่ล้วนแล้วต่างจะใช้วิธีการเหล่านี้กับผ้าเดนิมกันทั้งนั้น ผลลัพท์ของคอลเลคชั่นนี้จึงอาจเป็นเพียงคำตอบจากการทดลองเบื้องต้นที่ไม่ได้ลึกซึ้งเท่าที่ทุกคนคาดหวังไว้กับแบรนด์คูลคิดส์แห่งนิวยอร์กอย่าง Proenza Schouler จึงอาจอดคิดไม่ได้ว่า ในขณะที่ทั้งสองกำลังให้คำนิยามและตามหาความหมายของ American Identity กลับกลายเป็นตัวแบรนด์เองต่างหากที่กำลังประสบ Identity Crisis อยู่หรือไม่?
ผู้เขียนไม่ขอเป็นผู้ตัดสินว่าคอลเลคชั่นนี้ขาดสิ่งไหนหรือเกินในส่วนใด แต่เหล่าเครื่องแต่งกายที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองการสวมใส่ในชีวิตประจำวันบนรันเวย์ของ Proenza Schouler นี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความตั้งใจและความปราถนาดีของทั้งสองดีไซน์เนอร์ที่มีต่อผู้หญิงอเมริกันและผู้หญิงยุคใหม่ทั่วทั้งโลก โดยประจักษ์ให้เห็นตลอดมาภายใต้ระยะเวลาความสำเร็จกว่า 16 ปี หลังจากการก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปี 2002 แบรนด์ร่วมสมัยแห่งนี้ก็ยังคงยืนนำหน้าเป็นผู้ก้าวพาดีไซน์เนอร์ในเจเนเรชั่นมิลเลนเนียลอีกมากมายตั้งแต่ Alexander Wang, Derek Lam, 3.1 Phillip Lim, Prabal Gurung ไปจนถึง Jason Wu ให้ก้าวขึ้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของ American Fashion ตามหลังยุคของเหล่าตำนานอย่าง Marc Jacobs, Jill Stuart, Vera Wang, Anna Sui, Donna Karan และ Narciso Rodriguez และแน่นอนว่าแรงขับเคลื่อนของเจเนเรชั่นมิลเลนเนียลนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอีกนาน
มุมมองที่แตกต่างกันทั้งสามมุมมองต่อทิศทางของ American Fashion นั้นแม้จะแตกต่างกันเกือบจะสิ้นเชิง แต่จุดร่วมที่เห็นได้ชัดเจนคือความพยายามเข้าถึงอัตลักษณ์ความเป็นอเมริกันที่แท้จริงไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม ก่อนจะถ่ายทอดออกผ่านเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ทั้งตรงตัวหรือแอบแฝงอย่างแนบเนียน ซึ่งล้วนคงอยู่ภายใต้กรอบปัจจัยการออกแบบที่แต่ละแบรนด์ได้สร้างขึ้น ไม่เพียงแค่ Calvin Klein, Matthew Adams Dolan และ Proenza Schouler ที่ได้ยกตัวอย่างขึ้นมาเพียงเท่านั้นที่ทำการตามหาและตีความนิยามของ American Fashion ในอุดมคติออกมาเป็นคอลเลคชั่นในฤดูกาลนี้ ยังมี Michael Kors ผู้หลีกหนีจากความวุ่นวายและหมองครึ้มของสังคมอเมริกันก่อนจะได้พบเจอความสงบสันติกับคอลเลคชั่นเสื้อผ้าริมหาดสีสันสดใส, Telfar Clemens แห่ง Telfar ผู้หยิบยก Americana Iconography ทั้งรูปธรรมและนามธรรมตั้งแต่เสื้อโปโลไปจนถึงแนวคิด Consumerism มาตีความเป็นเครื่องแต่งกาย Urban Street บนรันเวย์ใต้ฝนปรอย, ไปจนถึงที่ Vaquera กับการตามหาความหมายของ American Dream และถ่ายทอดผ่านแนวคิด Back To School กลับสู่ช่วงวัยมัธยมอีกครั้งหนึ่ง และอีกมากมายหลายคอลเลคชั่นหลายตราสินค้าที่ยังคงทดลองแก้สมการหาผลลัพธ์ของ American Fashion กันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครสามารถที่จะนิยามความหมายได้อย่างตายตัว และการเปลี่ยนแปลงไปของคำตอบอย่างไม่หยุดนิ่งนี่แหละที่ทำให้ American Fashion ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างหน้า พร้อมกับเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาไปตามกาลสมัย สภาพแวดล้อม และปัจจัยต่างๆทางสังคมที่ส่งผลต่อความคิดความอ่านของเหล่านักออกแบบทั้งหลายผู้กุมชะตาและรับหน้าที่เป็นกัปตันบังคับเรือลำนี้ ซึ่งผู้เขียนได้แต่หวังว่า American Fashion จะแล่นไปในทิศทางอนาคตอันหอมหวานที่ปูทางด้วย Diversity, Inclusivity และ Equality